วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์



งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์
ณ องค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ครั้งใหญ่แล้ว ยังให้ขุด "คลองเจดีย์บูชา "ตั้งแต่บ้านท่านามาจนถึงกลางเมืองนครปฐม เพื่อใช้เป็นเส้นทางมานมัสการองค์พระปฐม เจดีย์อีกด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าให้ดำเนินการปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์สืบต่อมาและงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ก็จัดขึ้นเป็นประจำวัตถุประสงค์ของการจัดงานเพื่อให้พุทธศาสนิกชนชั่วไปในจังหวัดนครปฐมและทั่วราชอาณาจักรได้มาร่วมกันบูชา พระบรมสารีริกธาตุและร่วมกันบริจาคทรัพย์บำรุงรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ให้มั่นคงสืบไป
Phra Pathom Chedi (Thai: พระปฐมเจดีย์) is the highest stupa in the world with a height of 127 m. It is located in the town Nakhon Pathom, Thailand.
The name Phra Pathom Chedi means Holy chedi (stupa) of the beginning. The stupa at the location is first mentioned in scriptures of the year 675, however archaeological findings date a first stupa to the 4th century. In the 11th century it was overbuilt with a Khmer style prang, which was later overgrown by the jungle. The ruin was visited several times by the later King
Mongkut during his time as a monk, and after his coronation he ordered the building of a new and more magnificent chedi at the site. After 17 years of construction it was finished in 1870, and the population of nearby Nakhon Chai Si was ordered to move to the newly created town around the chedi.

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

กล้วยไม้


กล้วยไม้
ชื่อสามัญ Orchid
ลักษณะทั่วไปของกล้วยไม้
กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นเป็นข้อปล้อง ผิวเปลือกเรียบบางสีเขียว การเจริญของลำต้นโดยการแยกหน่อออกจากข้อ กล้วยไม้บางชนิดเรียกส่วนของข้อและปล้องว่าลำลูกกล้วยบางชนิดมีระบบรากแบบกึ่งอากาศใบเรียงตัวสลับกันตามข้อลักษณะใบเรียบสีเขียว ขนาดของใบและลักษณะอื่น ๆ แตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอดหรือข้อของลำต้น ช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 10-30 ดอก ลักษณะดอกมีเดือยอยู่ตรงกลาง กลีบดอกแยกออกเป็นส่วน ๆ เรียงตัวกันรอบเกสร มีกลีบดอกประมาณ 5 กลีบ ซึ่งมีสีสันและขนาดของดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
การเป็นมงคลของกล้วยไม้
คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกล้วยไม้ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความประทับใจแก่บุคคลทั่วไปเพราะลักษณะดอกของกล้วยไม้แสดงถึงความงดงาม ประทับใจยิ่งแก่บุคคลทั่วไปที่ได้พบเห็น นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่ายังช่วยทำให้คนในบ้านเป็นผู้มีจริยธรรม เพราะการดูแลกล้วยไม้ให้เกิดดอกที่สวยงาม ต้องเป็นผู้มีจิตใจ และอุปนิสัยเยือกเย็น มีความประณีตและละเอียดลออ ยังมีกล้วยไม้บางชนิดได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีกล้วยไม้ ได้แก่ กล้วยไม้ชื่อ คัทลียา (Catteya) ทั้งนี้เพราะมีความสวยงามมากเป็นที่ประทับใจแก่สังคมทั่วไป
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต​้นไม้ไว้ทางทิศตะวันออกผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ ทั่วไปทาดอกให้ปลูกในวันพุธ ถ้าให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น
การปลูกกล้วยไม้ วิธีที่นิยมปลูกมี 2 วิธี คือ
1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงแบนแบบแหวนห้อยได้ จะเป็นกระถางไม้หรือกระถางดินเผาก็ได้แต่ต้องเป็นชนิดที่โปร่งระบายน้ำได้ดีเพราะกล้วยไม้ใช้รากในการหายใจด้วยและยึดเกาะทรงต้นให้แข็งแรงด้วยขนาดกระถางปลูก6-12นิ้วถ้าใช้กระถางทรงสูงก็ได้ต้องใช้ไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวปักไว้ตรงกลางกระถางเพื่อให้รากยึดเกาะสำหรับวัสดุที่ใช้ปลูกนั้นได้แก่ดินผสมพิเศษหรือกาบมะพร้าวซึ่งลักษณะการปลูกขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ถ้าใช้เพื่อประดับภายในอาคาร ควรให้ได้รับแสงบ้างอย่างน้อย 3 - 5 วันต่อครั้ง
2. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนนิยมใช้ไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวเพื่อให​้รากยึดเกาะจะปลูกในแปลงปลูกบริเวณบ้าน หรือทำเป็นสวนขนาดใหญ่ก็ได้ส่วนการปลูกแบบให้เกาะกับต้นไม้อื่นเช่นต้นไม้ยืนต้นวิธีปลูกโดยนำเอากาบมะพร้าว มาห่อหุ้มส่วนรากหรือโคนของกล้วยไม้เอาไว้ เพื่อให้ยึดติดกับต้นไม้ยืนต้นนั้นไว้ การปลูกแบบนี้ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ด้วย

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิธีสลาย ความเกลียด

วิธีสลาย ความเกลียด
ท่านผู้อ่านรู้จัก คำว่า "เกลียด" แน่นอน อย่ามาทำไก๋ ส่ายหน้าส่ายตูดว่า ชั้นไม่เค้ยไม่เคย เกลียดใครมาก่อนเชียว เพราะสังคมทุกวันนี้ รู้สึกมีความเกลียดชังกันแผ่ซ่านไปทุกทิศทุกทาง ขนาดเราบอกขอเป็นกลาง ยังมีคนทำหน้าเบ้ใส่ เลยอ่ะ เอ้...มันชักยังไงๆ วุ้ย!
แล้วสิ่งที่ "ประชาชนหาเช้ากินค่ำ" เกลียดน่ะเหรอ โธ่ ก็เกลียดการเป็นหนี้ไงล่ะ เพราะการมีหนี้ คือลาภอันประเสริฐ ที่ควรเก็บไว้ซะที่ไหน แต่หนี้สินน่ะควรผ่อนส่งให้เจ้าหนี้ตรงตามเวลา อย่าให้ท่านต้องตามทวงกันบ่อยๆ ขืนลูกหนี้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า ตัวเอง เป็นหนี้ใครไว้ และไปทำไว้เมื่อไหร่? แต่อุบอิบขอบอกว่า ลูกหนี้บางทีลืมจ่ายหนี้ด้วยความหลงลืมจริงๆ นะท่าน "ไม่ได้ ทำเป็นลืม" ก็มีนะจ๊ะ กระนั้นสรุปแล้วหากเป็นหนี้ ถ้าขืนไปเจอ "เจ้าหนี้มือหนัก" เข้า ระวังถูกทวงถามด้วยวิธีพิเศษนะเฟ้ย ดังนั้น อย่าให้เจ้าหนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยมาคอยตามจิกตามทวงลูกหนี้อย่างเราๆเลย
มารักษาเครดิตในการเป็นลูกหนี้ที่ดีกันเถอะ แม้ลูกหนี้อย่างเราๆจะเกลียดเจ้าหนี้แค่ไหน ก็ควรลดความรู้สึกนี้ลงซะมั่งก็ได้ หรือหากทำใจไม่เกลียดกันเลยจะเยี่ยมยิ่งกว่า
ว่าแล้ว อาทิตย์นี้ มาวิเคราะห์ความเกลียดมะ ว่าส่งผลกระทบต่อผู้ที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์นี้กันยังไงมั่ง? ท่าจะแจ๋ว อิอิ เอ้า... เพราะผลเสียของการเกิดความรู้สึกเกลียดคนโน้น ชังคนนี้ อย่างน้อยก็ทำให้คนที่เกิดความรู้สึกประมาณนี้...
ก.อารมณ์เสียอ่ะดิ่ เวลาเกลียดอะไรสักอย่าง ย่อมทำให้อารมณ์คุณไม่ปกติสุขแล้วล่ะ ซึ่งรวมไปถึงการทำให้ไม่มีความสุขด้วย คิดดูคนอารมณ์เสียจะไปอยู่กะใครได้ นอกจากอยู่กับตัวเองไปเหอะ นอกจากนี้ ข.เกลียดยังทำให้เครียด ค.หากเกลียดมากๆจนกินอะไรไม่ลง ก็เป็นโรคกระเพาะอีก ง.ความเกลียดยังทำให้คนเรามองโลกในแง่ร้าย (กว่าเดิม) ซะด้วยนะ
โอ๊ย...รู้งี้ไม่เกลียดดีกว่าเนอะ
หากท่านไม่อยากเกลียดใครหรือเกลียดอะไร วิธีระงับ หรือกดความเกลียดไม่ให้กำเริบ เสิบสาน ซึ่งทำยากแหงสิ แต่ในเมื่อตั้งใจไม่อยากเกลียดแล้ว ลองทำงี้มะ.....
อย่าเปิดรับสิ่งที่กระตุ้นหรือจุดชนวนให้คุณเกลียดขึ้นมาสิ ขืนได้ยินแต่สิ่งที่ทำให้คุณเกลียดบ่อยๆ แล้วจะหายเกลียด, หายชัง และหายเซ็งได้ไง
อย่าเกลียดตัวเองเมื่อรู้ว่าเราดั๊น....เกิดมาจนเลยนะ เพราะยิ่งเกลียดก็ยิ่งจน สู้เอาเวลาไม่พอใจที่ตูจน ไปสร้างเป็นพลังเพื่อก้มหน้าก้มตาทำงานยังจะมีรายได้เข้ากระเป๋าดีซะกว่า อ้อ...แต่ถ้าเกลียดที่ตัวเองชอบอู้งาน, เกลียดที่ไปแย่งแฟนคนอื่น, เกลียดที่ชอบไปใส่ร้ายคนอื่น หรือเกลียดที่ใช้ตังค์เปลือง เออหยั่งงี้เกลียดไปเหอะ เผื่อจะได้ปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดีกว่าเดิมไง ไชโย

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

15 ค่ำเดือน11 กับปรากฎการณ์ บั้งไฟพญานาค







15 ค่ำเดือน11 กับปรากฎการณ์ บั้งไฟพญานาค
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าในช่วงออกพรรษาของทุกปี จะมีปรากฏการณ์ลูกไฟกลม สีแดงอมชมพู หรือ "บั้งไฟพญานาค" เกิดขึ้นในลำแม่น้ำโขงที่ จ.หนองคาย ซึ่งกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา เฉพาะช่วงออกพรรษา จะมีนักท่องเที่ยวจากทุกภาคของประเทศไทยและชาวต่างชาติได้หลั่งไหลไป จ.หนองคายปีละนับแสนคนทีเดียว
จากการสอบถามนักท่องเที่ยวที่ได้ไปชมปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็ยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งคนบางกลุ่มเชื่อว่าลูกไฟที่ปรากฏให้เห็นนั้นเกิดจากความลี้ลับ โดยเชื่อตามตำนานที่กล่าวขานกันมาช้านานว่า เกิดจากการกระทำของเหล่าพญานาคทั้งหลายที่อาศัยอยู่เมืองบาดาล (เมืองใต้น้ำ) จัดทำขึ้นเพื่อ เฉลิมฉลองการเสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากเสด็จขึ้นไปบนสรวงสวรรค์เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา และเหล่าเทวดาอารักษ์ทั้งหลายจนครบ 3 เดือนในการเข้าพรรษา
ซึ่งในตำนานยังได้กล่าวไว้ว่า การเสด็จลงจากสวรรค์ครั้งนี้เป็นการเปิดโลกพร้อมกันทีเดียวทั้ง 3 โลก คือ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกบาดาล ซึ่งแต่ละโลกต่างประกอบพิธีต่างๆ เพื่อส่งและรับการเสด็จของพระพุทธองค์ ด้วยการทำบุญตักบาตร การรับฟังพระธรรมเทศนา การไหลประทีปเทียนไฟ ตลอดจนการจัดงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ ที่รวมถึงเหล่าพญานาคในโลกบาดาล ได้จัดทำบั้งไฟขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จกลับของพระพุทธองค์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ลูกไฟ ที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อันเนื่องมาจาก การสะสมของแก๊สใต้ผิวน้ำ แล้วผุดขึ้นมาสัมผัสกับชั้นบรรยากาศเหนือผิวน้ำ จนเกิดการสันดาปและเกิดเป็นลูกไฟ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ฟันธงว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ข้อสรุปสุดท้ายของกลุ่มที่ 3 คือสิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งดีงาม และเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่ใครๆ ก็อยากไปเห็นและอยากไปสัมผัสด้วยตนเอง ทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวในช่วงวันออกพรรษาของทุกปี
นายเจด็จ มุสิกวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า การจัดงานเทศกาลออกพรรษาในปีนี้ จ.หนองคาย ได้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-16 ต.ค. 51 เป็นความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนราชการ ภาคประชาชนชาว จ.หนองคาย และสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เขต 5 อุดรธานี โดยจะจัดให้มีกิจกรรมที่หลากหลายตามประเพณีอันดีงาม และเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นในท้องที่หลายอำเภอตลอดแนวแม่น้ำโขง
โดยคาดว่า ปีนี้จะมีประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว และชมบั้งไฟพญานาคจำนวนมากเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา ดังนั้น การเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยอาสาสมัคร จากภาคเอกชนและประชาชนอำนวยความสะดวกด้านการจราจร แจกแผ่นพับ ใบปลิวที่สำนักงาน ททท.เขต 5 อุดรธานีให้การสนับสนุน
มีป้ายบอกเส้นทาง สถานที่จอดรถ จุดชมบั้งไฟพญานาค เรื่องที่พักเรามีโรงแรม รีสอร์ทอพาร์ตเมนต์และบ้านพักแบบโฮมสเตย์ หอพัก และโรงเรียน ไว้รองรับ ส่วนเรื่องอาหารการกิน นอกจากร้านอาหารทั่วไปแล้วยังจัดให้มีกิจกรรมถนนอาหาร ที่มีเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข และสำนักพาณิชย์จังหวัด คอยตรวจสอบเรื่องคุณภาพอาหารและราคาอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองคาย ยังจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วไว้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดขึ้นเพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทุกคน
ด้าน นายทรงพล โกวิทศิริกุล นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย กล่าวว่า เทศบาลเมืองหนองคายร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน กำหนดจัดงานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค ประจำปี 2551 ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในระหว่างวันที่ 10-16 ตุลาคม 2551 ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่ท่าน้ำวัดลำดวน-ท่าน้ำวัดสิริมหากัจจายน์ อ.เมือง
โดยมีกิจกรรมสำคัญๆ เช่น การแข่งขันเรือยาวประเพณีชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร การแสดงแสง-เสียง "เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค" (คืนวันที่ 11-13 ต.ค.) การลอยเรือไฟบูชาพญานาค การประกวดกระทงยักษ์ พิธีบวงสรวงพระธาตุกลางน้ำและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การประกวดปราสาทผึ้งแบบดั้งเดิม ทำบุญตักบาตรเทโวโรหนะ การออกร้านจำหน่ายสินค้าและถนนอาหาร ซึ่งทุกปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ ลิมโพธิ์ทอง นายกเทศมนตรีตำบลโพนพิสัย กล่าวว่า เทศบาลฯร่วมกับทุกภาคส่วนกำหนดจัดงานออกพรรษาอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 13-15 ต.ค. ที่บริเวณวัดไทย ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การทำบุญตักบาตร การเวียนเทียนเนื่องในวันออกพรรษาที่วัดไทย จุดชมบั้งไฟพญานาค พิธีบวงสรวงพญานาค ที่ลานอเนกประสงค์วัดไทยและปากห้วยหลวง การไหลเรือไฟโบราณ 20 ลำ การลอยกระทงสาย การแสดงแสง เสียงตำนานบั้งไฟพญานาคและการแสดงมหรสพสมโภชตลอดงาน
บั้งไฟพญานาคจะปรากฏให้เห็นตามริมฝั่งแม่น้ำโขง ใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันที่ 14 - 15 ต.ค. 51 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น. โดยประมาณ จุดเกิดบั้งไฟพญานาคมีหลายที่ เช่น อ.สังคม ที่วัดอ่างปลาบึง หน้าที่ว่าการอำเภอ และที่หน้าวัดหายโศก อ.ศรีเชียงใหม่ ที่วัดหินหมากเป้ง อ.ท่าบ่อ ที่บ้านโพนสา อ.เมือง ที่บ้านจอมแจ้ง บ้านเสงียว บ้านพวก บ้านหัวหาด อ.โพนพิสัย ที่บ้านปากสวย หน้าวัดไทย และหน้า อบต.จุมพล บ้านใหม่ บ้านหนองกุ้งเหนือ-ใต้ อ.รัตนวาปี ที่บ้านน้ำเป ท่าม่วง ตาลชุม หนองแก้ว เปงจาน โพนแพง ต้อนน้อย และดอนเหมือด อ.ปากคาด ที่บ้านศรีรุ่งเรือง และบ้านศรีวิไล อ.บึงกาฬ ที่บ้านหอคำ และบ้าน อาฮง อ.บึงโขงหลง ที่บ้านท่าสีไค จ.หนองคาย

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บทความ 9 บัญญัติ กับ วิธีประหยัดนำมัน

บทความ 9 บัญญัติ กับ วิธีประหยัดนำมัน
ก็รู้ว่าสาวๆ สมัยนี้มีวิธีประหยัดเป็นเลิศ แต่เกรงจะพลาดท่าเสียค่าน้ำมันฟรีๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ราคาน้ำมันขาลง จะเผลอเหยียบเพลินเกินเงินในกระเป๋า วันนี้ Lisa นำทิปดีไม่มีเอาต์ มาย้ำให้รู้กัน...อย่ารอช้าไปอ่านเคล็ดลับกันเลย
1. ขับรถด้วยความเร็วที่กฏหมายกำหนด คือ ทางธรรมดา 90 กม./ชม. ทางด่วน 110 กม./ชม. และมอเตอร์เวย์ 120 กม./ชม.
2. ไม่ขับก็ดับเครื่อง รู้มั้ยว่าการติดเครื่องยนต์จอดอยู่เฉยๆ 5 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมันถึง 500 ซี.ซี. เชียวนะ
3. ทางเดียวกันไปด้วยกัน ตกลงกับคนข้างบ้านหรือผู้ร่วมงานที่ผ่านทางเดียวกัน ด้วยการผลัดกันขับ หรือวิธี Car Pool สลับขับ 5 คน ต่อรถหนึ่งคัน นอกจากช่วยชาติประหยัดน้ำมันแล้ว ยังเป็นการสร้างมิตรอีกด้วย
4. หลีกเลี่ยงใช้รถในชั่วโมงเร่งด่วน เพราะจะมีการสูญเสียพลังงานในช่วงจอดรอสัญญาณไฟ
5. ใช้โทรศัพท์ โทรสาร และอินเตอร์เน็ต เมื่องานนั้นไม่เร่งรีบ ไม่จำเป็นต้องขับรถไปส่งด้วยตัวเอง
6. วางแผนก่อนเดินทางทุกครั้งก่อนขับรถ หมดปัญหาเรื่องหลงและเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ
7. ลมยางต้องพอดีไส้กรองต้องสะอาด อย่าให้ความดันลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน และถ้าไส้กรองน้ำมันสะอาดจะช่วยลดการใช้น้ำมันได้วันละ 65 ซี.ซี. ควรทำความสะอาดทุก 2,500 กม. และเปลี่ยนทุก 20,000 กม.
8. ไม่บรรทุกของเกินจำเป็น หากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็นประมาณ 10 กก. ในระยะทาง 25 กม. จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซี.ซี. และถ้า 10% ของรถห้าล้านคันบรรทุกของไม่จำเป็นหนึ่งปี จะเปลืองน้ำมันถึง 7.3 ล้านลิตร เสียเงินแค่ไหนคิดดู?
9. หมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์เป็นประจำ เริ่มจากเปลี่ยนไส้กรองและน้ำมันเครื่องตามกำหนด รวมทั้งเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุก 5,000 กม. ตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำและแบตเตอรี่ จะช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้