วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันรัฐธรรมนูญ

ความหมาย
รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ
วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

ความเป็นมา
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
๔. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร

จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ

วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
๑. พระมหากษัตริย์
๒. สภาผู้แทนราษฎร
๓. คณะกรรมการราษฎร
๔. ศาล


ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม
กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ้


รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันพ่อ 5 ธันวามหาราช


ดอกพุทธรักษา สัญลักษณ์วันพ่อแห่งชาติ
ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )
5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ
4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วันเอดส์โลก 1 ธันวา


Red Ribbon (โบว์แดง)สัญลักษณ์ วันเอดส์โลก


โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยการก่อตัวขึ้นในบางส่วนของโลกและเป็นอยู่ในหมู่ชนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการตรวจพบโรคนี้ทั่วโลก และอัตราผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา
สำหรับในประเทศไทย นับตั้งแต่เริ่มมีโรคเอดส์เกิดขึ้นในประเทศตามรายงานครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๓ จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลจะประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบให้มีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับโรคเอดส์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายและแผนการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ระดับชาติสำหรับปี ๒๕๓๑-๒๕๓๔ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคเอดส์ลดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ ให้มีการประสานและร่วมมือกันระหว่างองค์การทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน แต่สถานการณ์ของโรคกลับแพร่กระจาย มากขึ้นและกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ เป็นที่เข้าใจกันว่าโรคนี้เกิดเฉพาะในกลุ่มชายรักร่วมเพศ กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาเข้าเส้นร่วมกัน และกลุ่มที่มีความสำส่อนทางเพศ แต่ในปัจจุบันโรคนี้ได้แพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มอื่นๆ ด้วย เช่น ผู้ที่ได้รับการบริจาคเลือดหรืออวัยวะที่มีเชื้อโรคเอดส์ ทารกในครรภ์มารดาที่ติดเชื้อเอดส์ และยังกระจายไปยังกลุ่มเยาวชน และผู้หญิงอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการรายงานสถานการณ์ผู้ป่วยเอดส์ทั่วโลกของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) ไว้ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั่วโลกมีผู้เป็นเอดส์ทั้งสิ้น กว่า ๓๘ ล้านคน
โดยในจำนวนผู้ติดเชื้อโรคเอดส์นี้ เป็นผู้ใหญ่ประมาณ ๓๑ ล้านคน เด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี อีก ๗ ล้านคน ในปีเดียวกันทั่วโลก มีผู้ป่วยโรคเอดส์ตายไปกว่า ๓ ล้านคน อีกทั้งข้อมูลขอองยูเอ็นเอดส์ยังระบุอีกว่า ตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา มีผู้หญิง เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวี มากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะผู้หญิงในเอเชียตะวันออก มีอัตราของการติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๕๖ รองลงมาคือ ผู้หญิงในยุโรปตะวันออก และเอเชียกลาง ปัจจุบัน ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี (ยังไม่ป่วยเป็นโรคเอดส์) สูงถึง ๓๙.๔ ล้านคน เทียบกับเมื่อปี ๒๕๔๕ มีเพียง ๓๖.๖ ล้านคน และปี ๒๕๔๖ มีอยู่แค่ ๓๘ ล้านคน ปัจจุบันทวีปเอเชีย มีอัตราเพิ่มของผู้ติดเชื้อมากกว่าร้อยละ ๕๐ ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วโลก โดยในประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นประเทศต้นๆที่ได้รับเชื้อเพิ่ม เฉพาะรัสเซียประเทศเดียว ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ต่ำกว่า ๘๖๐,๐๐๐ คน ในบรรดาผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก เกือบ ๔๐ ล้านคน ผู้ติดเชื้อประมาณ ๓๗ ล้านคน มีอายุระหว่าง ๑๕-๔๙ ปี ในจำนวนนี้เป็น เพศหญิง เกือบครึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงทั่วโลก ที่อยู่ในวัยตั้งแต่ ๑๕-๒๔ ปี กลายเป็นเหยื่อเอดส์รายใหม่ เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ ๖๐ และเยาวชนหญิง วัยระหว่าง ๑๕-๑๙ ปี เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ ร้อยละ ๕๖ มีรายงานว่า เฉพาะทวีปแอฟริกา แถบทะเลทรายซาฮารา พบการติดเชื้อเอชไอวีในผู้หญิงสูงถึง ๑๓.๓ ล้านคน
ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อ และการป่วยเป็นโรคนี้จึงได้มีการพยายามหามาตรการเพื่อป้องกันและหยุดยั้งโรคเอดส์ให้เป็นผลสำเร็จ
องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ ๑ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ ๑. เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์
๒. เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ
๓. เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
๔. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ
๕. เพื่อเผลแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
การจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก จะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ฮือฮา! พบเต่าตนุเผือก คู่แรกในสยามๆๆๆๆๆๆๆ

ที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ สัตหีบ จ.ชลบุรี
วันที่ 17 พฤศจิกายน พลเรือตรี จักรชัย ภู่เจริญยศ ผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) ได้รับรายงานจาก น.อ.มนตรี จึงมั่นคง ผอ.ศสร.สอ.รฝ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องดูแลศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ว่า ไข่เต่าตนุที่ รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ซันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ และทีมงานได้เก็บมาจากเกาะคราม และนำมาฟักไว้ที่ชายหาดทรายหน้าศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน ได้ฟักตัวออกมา พบว่ามีลูกเต่าแปลกตัวสีขาว หรือเต่าเผือก จำนวน 2 ตัว ปะปนมากับเต่าตนุที่เกิดมาพร้อมกัน
ในเบื้องต้นทั้ง 2 ตัว มีสุขภาพแข็งแรง มีการปล่อยให้คลานบนพื้นทราย และว่ายน้ำเพื่อขยายปอด แต่ไม่สามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้ เนื่องจากเต่าเผือกมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่สามารถอำพรางตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในทะเลได้ เมื่อลงไปในทะเลจะมีสีขาวแปลกกว่าชนิดอื่น ๆ จึงเป็นเป้าให้กับสัตว์ใหญ่ในการกัดกินเป็นอาหาร จำเป็นจะต้องเลี้ยง และดูแลอย่างดีในเรื่องของสุขภาพ ป้องกันการติดเชื้อโรคของลูกเต่า เพื่อให้ประชาชน เยาวชน นิสิต นักศึกษา ได้มาชื่นชมลูกเต่าเผือกคู่แรกแห่งสยาม เพราะคนไทยเชื่อกันว่า สัตว์ทุกชนิดที่เป็นสีเผือก ถือว่าเป็นสัตว์มงคลคู่บ้านคู่เมือง และมักจะมีคนนำไปถวายเลี้ยงไว้ในรั้วในวังเสมอมา
พลเรือตรี จักรชัย กล่าวว่า เท่าที่ติดตามข้อมูล เคยพบที่ประเทศออสเตรเลีย และประเทศแม๊กซิโก ส่วนในประเทศไทยยังไม่พบว่ามีเต่าตนุเผือกที่ไหนมาก่อน ถ้าเป็นเช่นนี้จริงเต่าตนุเผือก 2 ตัวนี้ ก็จะเป็นคู่แรกแห่งสยาม ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดูแลอย่างดี และได้มี รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ซันซื่อ พร้อมคณะสัตวแพทย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตรวจร่างกายเต่าทะเล รักษาโรค แนะนำเจ้าหน้าที่ในการดูแลเต่าอย่างถูกวิธี เพื่อต้องการให้ลดปริมาณการตายของลูกเต่าให้มากที่สุด

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Loy Kratong


Loy Kratong
(ou Loi Krathong, Thaï ลอยกระทง) est une fête célébrée chaque année dans toute la Thaïlande. Elle a lieu lors de la pleine lune du 12e mois du calendrier thaï lunaire traditionnel ; dans le calendrier occidental, ceci se produit généralement en novembre. Cette tradition a débuté à Sukhothai mais est à présent fêtée dans toute la Thaïlande, les festivités de Chiang Mai et d’Ayutthaya étant particulièrement célèbres. Dans le Nord du royaume, à Chiang Mai notamment, Loy Kratong est l’occasion d’un spectaculaire lâcher dans les airs de lanternes emportées par des ballons cylindriques à air chaud . Loy Kratong est l’une des fêtes amusantes et joyeuses de la tradition thaïe.
La fête des Lumières
Loi signifie "flotter". Un Krathong est un petit radeau d’une vingtaine de centimètres de diamètre, taillé dans la section d’un tronc de bananier (bien que les versions contemporaines utilisent souvent du polystyrène même si cette pratique tend à être abandonnée pour d’évidentes raisons écologiques), décoré de façon élaborée avec des feuilles de bananier, des fleurs, des bougies, et trois bâtons d’encens etc... Certains y ajoutent également une pièce en espérant en retour bonne fortune, ce qui fait surtout le bonheur des enfants qui iront à la pêche au Krathong une fois la fête terminée. Le Krathong a souvent la forme d’un lotus en fleur mais il peut aussi avoir l’apparence d’un cygne, d’une stupa, ou encore tout simplement du mont Méru. La fête est également l'occasion de concours de la plus belle embarcation. Durant la nuit de la pleine lune, de nombreux Krathongs ainsi réalisés sont lâches des bords d’une rivière, d’un canal, d’un lac ou d’un bassin. Les administrations, les entreprises et autres organisations en fabriquent de plus grands et de plus élaborés et ceux-ci sont souvent évalués lors de concours. A cela s’ajoutent des feux d’artifices et des concours de beauté.
Significations et symboles
Cette célébration a ses origines en Inde, dérivant de la fête
hindoue de Divâlî durant laquelle la déesse du Gange est remerciée par des lanternes flottantes pour avoir dispensé la vie tout au long de l’année. Selon les écrits du roi Rama IV en 1863, la festivité originellement brahmanique fut adaptée par les bouddhistes de Thaïlande comme une cérémonie en l’honneur du Bouddha. En plus de manifester leur vénération pour le Bouddha par de la lumière (la bougie sur le radeau), le lâcher de Kratongs par les Thaïs symbolise également le fait de laisser partir rancunes, colères et souillures afin de pouvoir repartir d’un bon pied. De la même façon, ils se coupent ongles et cheveux qui symbolisent les mauvais aspects de soi afin de les placer sur les radeaux. Nombreux sont les Thaïs qui pensent que faire flotter un Kratong leur portera bonheur et ils le font pour honorer et remercier Phra Mae Khongkha, l’équivalent thaï de la déesse Hindoue des eaux.

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์



งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์
ณ องค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ครั้งใหญ่แล้ว ยังให้ขุด "คลองเจดีย์บูชา "ตั้งแต่บ้านท่านามาจนถึงกลางเมืองนครปฐม เพื่อใช้เป็นเส้นทางมานมัสการองค์พระปฐม เจดีย์อีกด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าให้ดำเนินการปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์สืบต่อมาและงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ก็จัดขึ้นเป็นประจำวัตถุประสงค์ของการจัดงานเพื่อให้พุทธศาสนิกชนชั่วไปในจังหวัดนครปฐมและทั่วราชอาณาจักรได้มาร่วมกันบูชา พระบรมสารีริกธาตุและร่วมกันบริจาคทรัพย์บำรุงรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ให้มั่นคงสืบไป
Phra Pathom Chedi (Thai: พระปฐมเจดีย์) is the highest stupa in the world with a height of 127 m. It is located in the town Nakhon Pathom, Thailand.
The name Phra Pathom Chedi means Holy chedi (stupa) of the beginning. The stupa at the location is first mentioned in scriptures of the year 675, however archaeological findings date a first stupa to the 4th century. In the 11th century it was overbuilt with a Khmer style prang, which was later overgrown by the jungle. The ruin was visited several times by the later King
Mongkut during his time as a monk, and after his coronation he ordered the building of a new and more magnificent chedi at the site. After 17 years of construction it was finished in 1870, and the population of nearby Nakhon Chai Si was ordered to move to the newly created town around the chedi.

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

กล้วยไม้


กล้วยไม้
ชื่อสามัญ Orchid
ลักษณะทั่วไปของกล้วยไม้
กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นเป็นข้อปล้อง ผิวเปลือกเรียบบางสีเขียว การเจริญของลำต้นโดยการแยกหน่อออกจากข้อ กล้วยไม้บางชนิดเรียกส่วนของข้อและปล้องว่าลำลูกกล้วยบางชนิดมีระบบรากแบบกึ่งอากาศใบเรียงตัวสลับกันตามข้อลักษณะใบเรียบสีเขียว ขนาดของใบและลักษณะอื่น ๆ แตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอดหรือข้อของลำต้น ช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 10-30 ดอก ลักษณะดอกมีเดือยอยู่ตรงกลาง กลีบดอกแยกออกเป็นส่วน ๆ เรียงตัวกันรอบเกสร มีกลีบดอกประมาณ 5 กลีบ ซึ่งมีสีสันและขนาดของดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
การเป็นมงคลของกล้วยไม้
คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกล้วยไม้ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความประทับใจแก่บุคคลทั่วไปเพราะลักษณะดอกของกล้วยไม้แสดงถึงความงดงาม ประทับใจยิ่งแก่บุคคลทั่วไปที่ได้พบเห็น นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่ายังช่วยทำให้คนในบ้านเป็นผู้มีจริยธรรม เพราะการดูแลกล้วยไม้ให้เกิดดอกที่สวยงาม ต้องเป็นผู้มีจิตใจ และอุปนิสัยเยือกเย็น มีความประณีตและละเอียดลออ ยังมีกล้วยไม้บางชนิดได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีกล้วยไม้ ได้แก่ กล้วยไม้ชื่อ คัทลียา (Catteya) ทั้งนี้เพราะมีความสวยงามมากเป็นที่ประทับใจแก่สังคมทั่วไป
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต​้นไม้ไว้ทางทิศตะวันออกผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ ทั่วไปทาดอกให้ปลูกในวันพุธ ถ้าให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น
การปลูกกล้วยไม้ วิธีที่นิยมปลูกมี 2 วิธี คือ
1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงแบนแบบแหวนห้อยได้ จะเป็นกระถางไม้หรือกระถางดินเผาก็ได้แต่ต้องเป็นชนิดที่โปร่งระบายน้ำได้ดีเพราะกล้วยไม้ใช้รากในการหายใจด้วยและยึดเกาะทรงต้นให้แข็งแรงด้วยขนาดกระถางปลูก6-12นิ้วถ้าใช้กระถางทรงสูงก็ได้ต้องใช้ไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวปักไว้ตรงกลางกระถางเพื่อให้รากยึดเกาะสำหรับวัสดุที่ใช้ปลูกนั้นได้แก่ดินผสมพิเศษหรือกาบมะพร้าวซึ่งลักษณะการปลูกขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ถ้าใช้เพื่อประดับภายในอาคาร ควรให้ได้รับแสงบ้างอย่างน้อย 3 - 5 วันต่อครั้ง
2. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนนิยมใช้ไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวเพื่อให​้รากยึดเกาะจะปลูกในแปลงปลูกบริเวณบ้าน หรือทำเป็นสวนขนาดใหญ่ก็ได้ส่วนการปลูกแบบให้เกาะกับต้นไม้อื่นเช่นต้นไม้ยืนต้นวิธีปลูกโดยนำเอากาบมะพร้าว มาห่อหุ้มส่วนรากหรือโคนของกล้วยไม้เอาไว้ เพื่อให้ยึดติดกับต้นไม้ยืนต้นนั้นไว้ การปลูกแบบนี้ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ด้วย

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิธีสลาย ความเกลียด

วิธีสลาย ความเกลียด
ท่านผู้อ่านรู้จัก คำว่า "เกลียด" แน่นอน อย่ามาทำไก๋ ส่ายหน้าส่ายตูดว่า ชั้นไม่เค้ยไม่เคย เกลียดใครมาก่อนเชียว เพราะสังคมทุกวันนี้ รู้สึกมีความเกลียดชังกันแผ่ซ่านไปทุกทิศทุกทาง ขนาดเราบอกขอเป็นกลาง ยังมีคนทำหน้าเบ้ใส่ เลยอ่ะ เอ้...มันชักยังไงๆ วุ้ย!
แล้วสิ่งที่ "ประชาชนหาเช้ากินค่ำ" เกลียดน่ะเหรอ โธ่ ก็เกลียดการเป็นหนี้ไงล่ะ เพราะการมีหนี้ คือลาภอันประเสริฐ ที่ควรเก็บไว้ซะที่ไหน แต่หนี้สินน่ะควรผ่อนส่งให้เจ้าหนี้ตรงตามเวลา อย่าให้ท่านต้องตามทวงกันบ่อยๆ ขืนลูกหนี้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า ตัวเอง เป็นหนี้ใครไว้ และไปทำไว้เมื่อไหร่? แต่อุบอิบขอบอกว่า ลูกหนี้บางทีลืมจ่ายหนี้ด้วยความหลงลืมจริงๆ นะท่าน "ไม่ได้ ทำเป็นลืม" ก็มีนะจ๊ะ กระนั้นสรุปแล้วหากเป็นหนี้ ถ้าขืนไปเจอ "เจ้าหนี้มือหนัก" เข้า ระวังถูกทวงถามด้วยวิธีพิเศษนะเฟ้ย ดังนั้น อย่าให้เจ้าหนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยมาคอยตามจิกตามทวงลูกหนี้อย่างเราๆเลย
มารักษาเครดิตในการเป็นลูกหนี้ที่ดีกันเถอะ แม้ลูกหนี้อย่างเราๆจะเกลียดเจ้าหนี้แค่ไหน ก็ควรลดความรู้สึกนี้ลงซะมั่งก็ได้ หรือหากทำใจไม่เกลียดกันเลยจะเยี่ยมยิ่งกว่า
ว่าแล้ว อาทิตย์นี้ มาวิเคราะห์ความเกลียดมะ ว่าส่งผลกระทบต่อผู้ที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์นี้กันยังไงมั่ง? ท่าจะแจ๋ว อิอิ เอ้า... เพราะผลเสียของการเกิดความรู้สึกเกลียดคนโน้น ชังคนนี้ อย่างน้อยก็ทำให้คนที่เกิดความรู้สึกประมาณนี้...
ก.อารมณ์เสียอ่ะดิ่ เวลาเกลียดอะไรสักอย่าง ย่อมทำให้อารมณ์คุณไม่ปกติสุขแล้วล่ะ ซึ่งรวมไปถึงการทำให้ไม่มีความสุขด้วย คิดดูคนอารมณ์เสียจะไปอยู่กะใครได้ นอกจากอยู่กับตัวเองไปเหอะ นอกจากนี้ ข.เกลียดยังทำให้เครียด ค.หากเกลียดมากๆจนกินอะไรไม่ลง ก็เป็นโรคกระเพาะอีก ง.ความเกลียดยังทำให้คนเรามองโลกในแง่ร้าย (กว่าเดิม) ซะด้วยนะ
โอ๊ย...รู้งี้ไม่เกลียดดีกว่าเนอะ
หากท่านไม่อยากเกลียดใครหรือเกลียดอะไร วิธีระงับ หรือกดความเกลียดไม่ให้กำเริบ เสิบสาน ซึ่งทำยากแหงสิ แต่ในเมื่อตั้งใจไม่อยากเกลียดแล้ว ลองทำงี้มะ.....
อย่าเปิดรับสิ่งที่กระตุ้นหรือจุดชนวนให้คุณเกลียดขึ้นมาสิ ขืนได้ยินแต่สิ่งที่ทำให้คุณเกลียดบ่อยๆ แล้วจะหายเกลียด, หายชัง และหายเซ็งได้ไง
อย่าเกลียดตัวเองเมื่อรู้ว่าเราดั๊น....เกิดมาจนเลยนะ เพราะยิ่งเกลียดก็ยิ่งจน สู้เอาเวลาไม่พอใจที่ตูจน ไปสร้างเป็นพลังเพื่อก้มหน้าก้มตาทำงานยังจะมีรายได้เข้ากระเป๋าดีซะกว่า อ้อ...แต่ถ้าเกลียดที่ตัวเองชอบอู้งาน, เกลียดที่ไปแย่งแฟนคนอื่น, เกลียดที่ชอบไปใส่ร้ายคนอื่น หรือเกลียดที่ใช้ตังค์เปลือง เออหยั่งงี้เกลียดไปเหอะ เผื่อจะได้ปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดีกว่าเดิมไง ไชโย

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

15 ค่ำเดือน11 กับปรากฎการณ์ บั้งไฟพญานาค







15 ค่ำเดือน11 กับปรากฎการณ์ บั้งไฟพญานาค
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าในช่วงออกพรรษาของทุกปี จะมีปรากฏการณ์ลูกไฟกลม สีแดงอมชมพู หรือ "บั้งไฟพญานาค" เกิดขึ้นในลำแม่น้ำโขงที่ จ.หนองคาย ซึ่งกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา เฉพาะช่วงออกพรรษา จะมีนักท่องเที่ยวจากทุกภาคของประเทศไทยและชาวต่างชาติได้หลั่งไหลไป จ.หนองคายปีละนับแสนคนทีเดียว
จากการสอบถามนักท่องเที่ยวที่ได้ไปชมปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็ยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งคนบางกลุ่มเชื่อว่าลูกไฟที่ปรากฏให้เห็นนั้นเกิดจากความลี้ลับ โดยเชื่อตามตำนานที่กล่าวขานกันมาช้านานว่า เกิดจากการกระทำของเหล่าพญานาคทั้งหลายที่อาศัยอยู่เมืองบาดาล (เมืองใต้น้ำ) จัดทำขึ้นเพื่อ เฉลิมฉลองการเสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากเสด็จขึ้นไปบนสรวงสวรรค์เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา และเหล่าเทวดาอารักษ์ทั้งหลายจนครบ 3 เดือนในการเข้าพรรษา
ซึ่งในตำนานยังได้กล่าวไว้ว่า การเสด็จลงจากสวรรค์ครั้งนี้เป็นการเปิดโลกพร้อมกันทีเดียวทั้ง 3 โลก คือ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกบาดาล ซึ่งแต่ละโลกต่างประกอบพิธีต่างๆ เพื่อส่งและรับการเสด็จของพระพุทธองค์ ด้วยการทำบุญตักบาตร การรับฟังพระธรรมเทศนา การไหลประทีปเทียนไฟ ตลอดจนการจัดงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ ที่รวมถึงเหล่าพญานาคในโลกบาดาล ได้จัดทำบั้งไฟขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จกลับของพระพุทธองค์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ลูกไฟ ที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อันเนื่องมาจาก การสะสมของแก๊สใต้ผิวน้ำ แล้วผุดขึ้นมาสัมผัสกับชั้นบรรยากาศเหนือผิวน้ำ จนเกิดการสันดาปและเกิดเป็นลูกไฟ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ฟันธงว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ข้อสรุปสุดท้ายของกลุ่มที่ 3 คือสิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งดีงาม และเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่ใครๆ ก็อยากไปเห็นและอยากไปสัมผัสด้วยตนเอง ทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวในช่วงวันออกพรรษาของทุกปี
นายเจด็จ มุสิกวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า การจัดงานเทศกาลออกพรรษาในปีนี้ จ.หนองคาย ได้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-16 ต.ค. 51 เป็นความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนราชการ ภาคประชาชนชาว จ.หนองคาย และสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เขต 5 อุดรธานี โดยจะจัดให้มีกิจกรรมที่หลากหลายตามประเพณีอันดีงาม และเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นในท้องที่หลายอำเภอตลอดแนวแม่น้ำโขง
โดยคาดว่า ปีนี้จะมีประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว และชมบั้งไฟพญานาคจำนวนมากเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา ดังนั้น การเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยอาสาสมัคร จากภาคเอกชนและประชาชนอำนวยความสะดวกด้านการจราจร แจกแผ่นพับ ใบปลิวที่สำนักงาน ททท.เขต 5 อุดรธานีให้การสนับสนุน
มีป้ายบอกเส้นทาง สถานที่จอดรถ จุดชมบั้งไฟพญานาค เรื่องที่พักเรามีโรงแรม รีสอร์ทอพาร์ตเมนต์และบ้านพักแบบโฮมสเตย์ หอพัก และโรงเรียน ไว้รองรับ ส่วนเรื่องอาหารการกิน นอกจากร้านอาหารทั่วไปแล้วยังจัดให้มีกิจกรรมถนนอาหาร ที่มีเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข และสำนักพาณิชย์จังหวัด คอยตรวจสอบเรื่องคุณภาพอาหารและราคาอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองคาย ยังจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วไว้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดขึ้นเพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทุกคน
ด้าน นายทรงพล โกวิทศิริกุล นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย กล่าวว่า เทศบาลเมืองหนองคายร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน กำหนดจัดงานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค ประจำปี 2551 ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในระหว่างวันที่ 10-16 ตุลาคม 2551 ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่ท่าน้ำวัดลำดวน-ท่าน้ำวัดสิริมหากัจจายน์ อ.เมือง
โดยมีกิจกรรมสำคัญๆ เช่น การแข่งขันเรือยาวประเพณีชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร การแสดงแสง-เสียง "เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค" (คืนวันที่ 11-13 ต.ค.) การลอยเรือไฟบูชาพญานาค การประกวดกระทงยักษ์ พิธีบวงสรวงพระธาตุกลางน้ำและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การประกวดปราสาทผึ้งแบบดั้งเดิม ทำบุญตักบาตรเทโวโรหนะ การออกร้านจำหน่ายสินค้าและถนนอาหาร ซึ่งทุกปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ ลิมโพธิ์ทอง นายกเทศมนตรีตำบลโพนพิสัย กล่าวว่า เทศบาลฯร่วมกับทุกภาคส่วนกำหนดจัดงานออกพรรษาอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 13-15 ต.ค. ที่บริเวณวัดไทย ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การทำบุญตักบาตร การเวียนเทียนเนื่องในวันออกพรรษาที่วัดไทย จุดชมบั้งไฟพญานาค พิธีบวงสรวงพญานาค ที่ลานอเนกประสงค์วัดไทยและปากห้วยหลวง การไหลเรือไฟโบราณ 20 ลำ การลอยกระทงสาย การแสดงแสง เสียงตำนานบั้งไฟพญานาคและการแสดงมหรสพสมโภชตลอดงาน
บั้งไฟพญานาคจะปรากฏให้เห็นตามริมฝั่งแม่น้ำโขง ใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันที่ 14 - 15 ต.ค. 51 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น. โดยประมาณ จุดเกิดบั้งไฟพญานาคมีหลายที่ เช่น อ.สังคม ที่วัดอ่างปลาบึง หน้าที่ว่าการอำเภอ และที่หน้าวัดหายโศก อ.ศรีเชียงใหม่ ที่วัดหินหมากเป้ง อ.ท่าบ่อ ที่บ้านโพนสา อ.เมือง ที่บ้านจอมแจ้ง บ้านเสงียว บ้านพวก บ้านหัวหาด อ.โพนพิสัย ที่บ้านปากสวย หน้าวัดไทย และหน้า อบต.จุมพล บ้านใหม่ บ้านหนองกุ้งเหนือ-ใต้ อ.รัตนวาปี ที่บ้านน้ำเป ท่าม่วง ตาลชุม หนองแก้ว เปงจาน โพนแพง ต้อนน้อย และดอนเหมือด อ.ปากคาด ที่บ้านศรีรุ่งเรือง และบ้านศรีวิไล อ.บึงกาฬ ที่บ้านหอคำ และบ้าน อาฮง อ.บึงโขงหลง ที่บ้านท่าสีไค จ.หนองคาย

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บทความ 9 บัญญัติ กับ วิธีประหยัดนำมัน

บทความ 9 บัญญัติ กับ วิธีประหยัดนำมัน
ก็รู้ว่าสาวๆ สมัยนี้มีวิธีประหยัดเป็นเลิศ แต่เกรงจะพลาดท่าเสียค่าน้ำมันฟรีๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ราคาน้ำมันขาลง จะเผลอเหยียบเพลินเกินเงินในกระเป๋า วันนี้ Lisa นำทิปดีไม่มีเอาต์ มาย้ำให้รู้กัน...อย่ารอช้าไปอ่านเคล็ดลับกันเลย
1. ขับรถด้วยความเร็วที่กฏหมายกำหนด คือ ทางธรรมดา 90 กม./ชม. ทางด่วน 110 กม./ชม. และมอเตอร์เวย์ 120 กม./ชม.
2. ไม่ขับก็ดับเครื่อง รู้มั้ยว่าการติดเครื่องยนต์จอดอยู่เฉยๆ 5 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมันถึง 500 ซี.ซี. เชียวนะ
3. ทางเดียวกันไปด้วยกัน ตกลงกับคนข้างบ้านหรือผู้ร่วมงานที่ผ่านทางเดียวกัน ด้วยการผลัดกันขับ หรือวิธี Car Pool สลับขับ 5 คน ต่อรถหนึ่งคัน นอกจากช่วยชาติประหยัดน้ำมันแล้ว ยังเป็นการสร้างมิตรอีกด้วย
4. หลีกเลี่ยงใช้รถในชั่วโมงเร่งด่วน เพราะจะมีการสูญเสียพลังงานในช่วงจอดรอสัญญาณไฟ
5. ใช้โทรศัพท์ โทรสาร และอินเตอร์เน็ต เมื่องานนั้นไม่เร่งรีบ ไม่จำเป็นต้องขับรถไปส่งด้วยตัวเอง
6. วางแผนก่อนเดินทางทุกครั้งก่อนขับรถ หมดปัญหาเรื่องหลงและเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ
7. ลมยางต้องพอดีไส้กรองต้องสะอาด อย่าให้ความดันลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน และถ้าไส้กรองน้ำมันสะอาดจะช่วยลดการใช้น้ำมันได้วันละ 65 ซี.ซี. ควรทำความสะอาดทุก 2,500 กม. และเปลี่ยนทุก 20,000 กม.
8. ไม่บรรทุกของเกินจำเป็น หากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็นประมาณ 10 กก. ในระยะทาง 25 กม. จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซี.ซี. และถ้า 10% ของรถห้าล้านคันบรรทุกของไม่จำเป็นหนึ่งปี จะเปลืองน้ำมันถึง 7.3 ล้านลิตร เสียเงินแค่ไหนคิดดู?
9. หมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์เป็นประจำ เริ่มจากเปลี่ยนไส้กรองและน้ำมันเครื่องตามกำหนด รวมทั้งเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุก 5,000 กม. ตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำและแบตเตอรี่ จะช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

เต่าสองหัว

เต่าสองหัว
เจ้าหน้าที่สวนสัตว์น้ำ "วอเตอร์ เวิลด์" ในเมืองหวู่เหว่ย มณฑลอานฮุย ประเทศจีน ต้องตกตะลึงพรึงเพริศสุดๆ เพราะพอตรวจสอบลูกเต่าที่สั่งซื้อมาจากฟาร์มท้องถิ่น ก็พบเจ้า "เต่าสองหัว" ตัวจิ๋วเข้าให้!
นายจิมมี่ หู ประชาสัมพันธ์วอเตอร์ เวิลด์ บอกว่า ลูกเต่าสองหัวเป็นปกติเหมือนเต่าหัวเดียวทุกประการ ข้อแตกต่างมีแค่ มันโตเร็วกว่าเต่าครอกเดียวกัน เพราะสองหัวที่งอกออกมานั้นกินจุเหมือนกันเด๊ะ!
ถ้าปล่อยให้กินจนอ้วนหัวโต..เวลาจะหดเข้ากระดองพร้อมๆ กันคงลำบากน่าดูชม!

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

ครัวซองต์(Croissants)

ครัวซองต์
เรื่องราวของครัวซองต์มีตำนานหลากหลาย
แต่มีเนื้อความคล้าย ๆ กันค่ะบ้างก็ว่า

เกิดในกรุงเวียนนา (ออสเตรีย) ในปีคศ 1683
หรือ กรุงบูดาเปสต์ (ฮังการี) ในปีคศ 1686
แต่น้ำหนักจะไปทางเวียนนาซะมาก
เรื่องมีอยู่ว่ามีกลางดึกคืนหนึ่ง
มีช่างอบขนมปังคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ห้องใต้ดิน
แล้วก็ได้ยินเสียงตุ้บ ๆ จากหลังกำแพง
เหมือนเสียงคนขุดอุโมงค์
ซึ่งคาดว่าเป็นพวกทหารเติร์กที่จะบุกมาเข้าโจมตียึดเมือง
ช่างทำขนมปังจึงได้ไปรายงานทางการทันที
และได้ช่วยกันเผาอุโมงค์ที่ทหารเติร์กช่วยกันขุด
จึงทำให้เมืองของตนรอดพ้นจากการถูกยึดได้
ช่างขนมปังไม่ได้ขอรางวัลอะไร
นอกจากขอทำขนมเเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว (Crescent)
ซึ่งเป็นเครื่องหมายอยู่บนธงอ็อตโตมัน (ของพวกเติร์ก)

ครัวซองต์ก็เลยเกิดขึ้นมาแต่ต่อมา
ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี คศ1875
ได้รวบรวมครัวซองต์มาเป็นขนมที่กินกับกาแฟ
(มีขนมอื่น ๆ เช่นมัฟฟินด้วย)
และได้เขียนสูตรเป็นเรื่องเป็นราวในปีคศ 1905
ซึ่งไม่มีใครเคยพบสูตรครัวซองต์ในที่ใด ๆ ในโลกนี้มาก่อน
สรุปว่าประเทศฝรั่งเศสได้นำครัวซองต์
มาทำให้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งค่ะ
โดยได้นำเข้ามาจากเวียนนาอีกที
ครัวซองต์มีขั้นตอนการทำเหมือนพายชั้น
แต่ไม่ต้องนำแป้งแช่แข็งก่อนอบ
การทำครัวซองต์จะนิยมใส่ยีสต์ในแป้ง
ทำให้ครัวซองต์มีโพรงอากาศพองโต
และเนื้อข้างในนิ่มไม่กรอบร่วนเหมือนพายชั้นค่ะ

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

ทัชมาฮาล (Le Taj Mahal)

ประวัติ

ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์อินเดียผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ เจ้าชายขุร์รัม ชึ่งต่อมาคือจักรพรรดิชาห์ ชหาน พระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) พระบิดา คือ จักรพรรดิ ชาห์ ชหานชีร์ จักรพรรดิองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์โมกุล แห่งอินเดีย ตามตำนานกล่าวว่า เจ้าชายขุร์รัม ได้พบกับ อรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เมื่อพระองค์ มีพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักนาง เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปีและบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรสาวของรัฐมนตรี พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี ในปี พ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) จากนั้นมาทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย
หลังจากที่พระเจ้าชาห์ ชหาน ขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี
พ.ศ. 2171 พระองค์มอบความไว้วางใจแก่ อรชุมันท์ พานุ เพคุม และเรียกนางว่า มุมตัซ มาฮาล "อัญมณีแห่งราชวัง" พระมเหสีติดตามพระองค์ แม้แต่ในสนามรบ แนะนำพระองค์ในเรื่องราชการของประเทศ และพระองค์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก ครั้นในปี พ.ศ. 2174 (ค.ศ. 1631) พระมเหสีมุมตัซสิ้นพระชนม์ หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 การสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีทำให้พระเจ้าชาห์ ชหานโศกเศร้าอยู่ถึงสองทศวรรษ ราชสมบัติส่วนใหญ่สูญเสียไปเพื่อการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั้งสองพระองค์
ในปี
พ.ศ. 2200 (ค.ศ. 1657) พระเจ้าชาห์ ชหานทรงพระประชวร และในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) พระโอรส โอรังเซบ จับพระเจ้าชาห์ ชหานขัง และขึ้นครองราชบัลลังก์เเทน พระองค์ถูกกักขังอยู่ถึง 8 ปี จนกระทั่งสวรรคตในปี พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) ตามตำนานกล่าวว่าให้วันสุดท้ายของชีวิตพระองค์ใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ พระเจ้าชาห์ ชหานถูกฝังในทัชมาฮาล เคียงข้างมเหสีซึ่งพระองค์ไม่เคยลืม มีบางคนกล่าวว่าพระเจ้าชาห์ ชหาน มิได้ประสงค์ที่จะถูกฝังร่วมกับประมเหสี แต่พระองค์มีแผนการที่จะสร้างสุสานอีกแห่งด้วยหินอ่อนสีดำ เพื่อเป็นสุสานของพระองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านเชื่อว่าพระองค์ประสงค์ที่จะถูกฝังเคียงข้างพระนางมุมตัซ มาฮาล

ขนาด

ทัชมาฮาลถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคใหม่ ทัชมาฮาลตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอาครา ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ หลุมศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับจากมิตรประเทศ ได้รับคำรับรองว่าสร้างขึ้นด้วยสัดส่วนที่วิจิตรและงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร มีผู้สร้างและออกแบบร่วม 20,000 คน การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี ทัชมาฮาลมีเนื้อที่ประมาณ 42 เอเคอร์ เป็นที่ตั้งของมัสยิด มีหออาซาน (หอสูงสำหรับร้องเเจ้งเวลาทำนมาซ) และมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ นายช่างที่ออกแบบ ชื่อ อุสตาด ไอซา ถูกประหารชีวิตเพื่อมิให้ไปออกแบบสถาปัตยกรรมใด ๆ ที่สวยกว่าได้ ส่วนหัวของทัชมาฮาลมีลักษณะโดมที่เรียกว่าโอเนียนโดม

เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก

ทัชมาฮาลได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยมีเหตุผลตามเกณฑ์การพิจารณาคือ
(i) - เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส

จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (Président de la République française)
เป็นตำแหน่งประมุขของรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง4 ใน 5 สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่เคยมีมาได้มีประธานาธิบดีในตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ซึ่งทำให้ระบอบประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสนั้น เป็นระบอบที่ยาวนานที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ยุโรปประเทศหนึ่ง รัฐธรรมนูญในแต่สาธารณรัฐนั้น อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของประธานาธิบดีนั้นมีความแตกต่างกันไป
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสนั้นยังมีฐานะเป็นผู้ปกครองร่วมอันดอร์ราอีกด้วย
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบันคือ
นิโกลาส์ ซาร์โกซี เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

พาราลิมปิกเกม์ ชัยชนะของนักกีฬาคนพิการ




ความเป็นมาของพาราลิมปิกเกมส์นั้นเริ่มต้นด้วยแนวคิดของ Sir Ludwig Guttman ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ที่ใช้กีฬาเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพทหารที่บาดเจ็บจากสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยได้มีการจัดการแข่งขันขึ้น ระหว่างทีมคนพิการจากสถานสงเคราะห์ Star & Garter และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล Stoke Mandeville ในระหว่างพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 14 ซึ่งประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน
จากความพยายามที่จะผลักดันให้กีฬาคนพิการได้กลายเป็นกีฬาระดับโลกสำหรับคนพิการทั่วไปเป็นมาอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นองค์กรกีฬา พาราลิมปิก ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ได้มีการจัดการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก อย่างเป็นทางการที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ภายหลังกีฬาโอลิมปิก 2 สัปดาห์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นรูปแบบของกีฬาพาราลิมปิก ที่จัดคู่กับกีฬาโอลิมปิกมาทุกสมัย และได้มีการประกาศใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า " Paralympic Games " ในปีค.ศ. 1984 สมัยการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา
พาราลิมปิกเกมส์ ได้ถูกจัดขึ้นแล้ว 12 ครั้ง ครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นครั้งหลังสุดนี้ จัดขึ้นภายหลังกีฬาโอลิมปิก 2004 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ระหว่างวันที่ 17 - 28 กันยายน พุทธศักราช 2547 มีการแข่งขัน 19 ประเภทกีฬา จำนวนนักกีฬาประมาณ 3,969 คน จาก 136 ประเทศ ประเภทของกีฬาได้แก่ ยิงธนู กรีฑา บาสเกตบอล บ็อคเชีย จักรยาน ขี่ม้า ฟุตบอล 7 คน ฟุตบอล 5 คน โกลด์บอล ยูโด ยกน้ำหนัก เรือใบ ยิงปืน ว่ายน้ำ เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอล วีลแชร์บาสเกตบอล วีลแชร์ฟันดาบ วีลแชร์รักบี้ วีลแชร์เทนนิส ในพาราลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 12 นี้ ประเทศไทยส่งนักกีฬาคนพิการที่ผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการพาราลิมปิกสากล ( IPC ) จำนวน 43 คน เข้าร่วมแข่งขันในประเภทกีฬา 9 ประเภท ได้แก่ กรีฑา ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก บ็อคเชีย ยิงธนู วีลแชร์เทนนิส ยูโด ฟันดาบ และยิงปืน
ผลการแข่งขันปรากฎว่านักกีฬาคนพิการไทยได้
เหรียญทอง 3 เหรียญ จากสายสุนีย์ จ๊ะนะ (ฟันดาบ) จากพิเชษฐ์ กรุงเกตุ, เรวัตร ต๋านะ, ศุภชัย โกยทรัพย์, ประวัติ วะโฮรัมย์ (กรีฑา ได้ 2 เหรียญ) เหรียญเงิน 6 เหรียญ จากทองสา มารศรี (ยกน้ำหนัก) จากสมชาย ดวงแก้ว (ว่ายน้ำได้ 2 เหรียญ) จากวาสนา กาบไม้จันทร์ (ธนู) จากประวัติ วะโฮรัมย์ (กรีฑา) จากสาคร ขันทะสิทธิ์, รัตนา เตชะมณีวัฒน์ (เทนนิส)เหรียญทองแดง 6 เหรียญ จากสายสุนีย์ จ๊ะนะ (ฟันดาบ) จากพนม ลักษณะพริ้ม (ว่ายน้ำ) จากพัทยา เทศทอง (บ็อคเชีย) จากเรวัตร ต๋านะ (กรีฑา) จากสานิตย์ สงนอก (ว่ายน้ำ) จากพิเชษฐ์ กรุงเกตุ (กรีฑา)จำนวนเหรียญที่ได้รับ มาเป็นสถิติในลำดับที่ 35

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประโยชน์ของสตอเบอร์รี่



ประโยชน์ของสตอเบอร์รี่

สตอเบอร์รี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี มีประโยชน์ต่อเหงือก และฟัน หรือหาทานง่าย ๆ ประโยชน์ของสตอเบอรี่ มีมากมาย เช่น นำมาพอกหน้า จะช่วยทำให้ผิวสดชื่น และชุ่มชื้น หรือถ้าเราทานสตอเบอรี่เป็นประจำก็จะทำให้ผิวดี และมีสุขภาพแข็งแรง เพราะในสตอเบอรี่มีวิตามิน และแร่ธาตุบางชนิดช่วยลดความหยาบกร้านของผิว ช่วยชะลอความแก่ชรา แค่คุณทานง่าย ๆ แค่นี้ คุณก็สวยได้แล้วค่ะ เสมือนดังที่ว่า “กิน อย่างปลอดภัย/สวย…อย่างธรรมชาติ”

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ฤดูกาลในฝรั่งเศส


ฤดูกาลในฝรั่งเศสมี 4 ฤดูกาล
ฤดูใบไม้ผลิ จะเริ่มราววันที่ 21มีนาคม - 21 มิถุนายน ฤดูนี้อากาศดีมาก ต้นไม้ผลิดอกสวยงามมาก
ฤดูร้อน จะเริ่มราวๆ วันที่ 22 มิถุนายน - 22 กันยายน อากาศดีและร้อน เป็นฤดูแห่งการพักผ่อน ในเดือนสิงหาคม โรงงาน ร้านค้า มักจะหยุดให้พนักงานพักผ่อน ผู้คนนิยมไปทะเล
ฤดูใบไม้ร่วง จะเริ่มราวๆ วันที่ 23 กันยายน - 23 ธันวาคม อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา ฝนเริ่มตั้งเค้า ลมพัดแรง ใบไม้ผลัดใบทิ้งเพื่อรอรับฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา
ฤดูหนาว จะเริ่มจากวันที่ 23 ธันวาคม - 23 มีนาคม อากาศหนาวจัดหิมะตก ไม่มีใบไม้เหลือบนต้นไม้เลย


วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เกาะช้าง

สวยดีเนอะๆๆ